วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เติมเต็มความฝัน ในพิพิธภัณฑ์ยานยนต์โบราณ

แรงบันดาลใจมักเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ผลงานบางอย่างประสบความ สำเร็จ คนบางคนใช้ความฝันและแรงบันดาลใจเป็นพลังขับเคลื่อนให้ชีวิตดำเนินไปอย่างมี จุดหมาย วันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ จะพาทุกคนไปรู้จักกับ เจษฎา เทคนิค มิวเซี่ยม พิพิธภัณฑ์รถยนต์โบราณที่เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจของเจ้าของที่หลงเสน่ห์ยานยนต์หายากและใช้เวลาสะสมมากว่า 20 ปี

คุณเจษฎา เดชสุกลฤทธิ์ เจ้าของเจษฎา เทคนิค มิวเซี่ยม เก็บหอมรอมริบสะสมทีละคันสองคัน จนทุกวันนี้มียานยนต์ทั้ง เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ รถโดยสาร รถเก๋ง รถการ์ตูน จักรยานยนต์ รวมถึงรถสามล้อและจักรยานจากเกือบทุกชาติทั่วโลกอยู่ในครอบครองกว่า 1,000 คัน แต่ในพิพิธภัณฑ์สามารถโชว์รถยนต์และมอเตอร์ไซต์รวมกันได้แค่ 370 คัน จึงใช้วิธีหมุนเวียนรถในการจัดแสดง

ในพื้นที่ของพิพิธภัณฑ์มีการแบ่งสัดส่วนการโชว์อย่างชัดเจนคือโซน scooter และจักรยานโบราณ 100 คัน ที่เรียงรายรวมกันอย่างสวยงาม ถัดมาด้านในทุกคนก็จะได้ตื่นตากับโซนรถยนต์ 270 คัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรถประเภท Classic car และ Micro Car โดยเปิดโอกาสให้เด็กๆได้สัมผัสรถยนต์อย่างใกล้ชิด เพราะเจ้าของเชื่อว่าความฝันของเด็กมีค่ากว่ารถพวกนี้เยอะ


พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงรถตั้งแต่ด้านหน้า โดยคันแรกที่ผู้มาเยือนสามารถเห็นได้คือรถบัส London เปิดประทุน ซึ่งในลายผลิตมีไม่เกิน 3 คันทั่วโลก ถัดเข้ามาจะเจอกับรถ 4 ล้อ BMW ปี 1955 ที่มีความแปลกตรงที่เปิดประตูจากด้านหน้าพวงมาลัยติดกับประตู เพราะวิศวกรเคยเป็นผู้ออกแบบตู้เย็นมาก่อนและต้องการประหยัดจึงเลือกทำรถ ประตูเดียว

ดินต่อมาที่โซน scooter ทุกคนจะได้พบกับรถ vespa คันสีเขียวที่นับเป็นรุ่นแรกของสุดยอดรสคลาสสิกยอดฮิต และอีกหนึ่งไฮไลท์ของโซนนี้ต้องยกให้ รถแข่งขนาดเล็กกะทัดรัด Jhle ปี 1943-1950 ของประเทศเยอรมันที่ผลิตออกมาแค่หลักร้อย โดยรถคันนี้จะไม่มีกุญแจสตาร์ท ใช้วิธีการเข็นท้ายประมาณเมตรสองเมตร ให้ล้อหมุนแล้วเครื่องก็จะทำงาน แต่ถึงจะคันเล็กขนาดนี้แต่ความเร็วอยู่ในระดับ 150cc นับว่าไม่ธรรมดาทีเดียว

จากนั้นมายลโฉมรถคันแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ Messerschmitt KR-200 ปี 1958 สีแดงสง่า ที่มีลักษณะคล้ายห้องขับของนักบิน ซึ่งบริษัทที่ผลิตรถคันนี้เคยผลิตเครื่องบินสมัยสงครามมาก่อน แปลกตาด้วยเก้าอี้นั่งสามารถปรับระดับได้ขึ้นลงและประตูที่ต้องเปิดจากด้าน บน ใกล้กันมีรถซีตรอง van คันสีขาวที่ออกแบบมาสำหรับขนส่งไวน์ จึงสามารถวิ่งบนทางขรุขระได้ดีเพราะโยกได้

ถ้าใครเคยดูหนังเรื่องเจาะเวลาหาอดีตคงต้องสะดุดตากับรถ DMC ปี 1981-82 ประตูเปิดแบบปีกนก ที่ใช้เข้าฉากในหนัง แต่ต้องขอบอกว่าสภาพยังสวยงามและดูดีกว่าในหนังมาก โดดเด่นในเรื่องของสีสันต้องยกให้รถBond คันสีเขียวแสบสันที่เน้นขายวัยรุ่น โดยในประเทศอังกฤษเพียงแค่มีใบขับขี่มอเตอร์ไซต์ก็สามารถขับได้

อีกหนึ่งคันที่ห้ามพลาดชมคือรถจิ๋วปี 1975 สัญชาติฝรั่งเศส ที่ตั้งใจผลิตให้เป็นรถที่เล็กที่สุดในโลก ทำให้รถมีน้ำหนักเบามาก นอกจากนั้นยังมีจุดเด่นที่ประตูรถสองด้านเปิดแตกต่างกัน ด้านหนึ่งเปิดขึ้น อีกด้านเปิดพับธรรมดา เนื่องจากรถคันนี้ถูกออกแบบโดยวิศวกร 2 คน ออกแบบด้วยไอเดียต่างกัน

ยังมีรถอีกหลายคันภายในพิพิธภัณฑ์นี้ที่น่าสนใจทั้ง รถเวสป้าที่เป็นรถยนต์ รถที่ประเทศไทยนำมาเป็นแท็กซี่รุ่นแรก รถแท็กซี่ของต่างประเทศ ออสตินที่เก่าที่สุดปี 1924 รถที่ทำจากไม้อายุกว่า 70 ปี หรือแม้กระทั่งรถที่มีส่วนผสมของกระดาษ ฯลฯ เรียกว่าอธิบายเท่าไหร่ก็คงไม่หมด ถ้าไมได้แวะเข้าไปเยี่ยมชมด้วยตัวเอง

ใครที่มีความฝันและอยากที่จะทำตามความฝันให้สำเร็จ อย่าเพิ่งท้อถอยและหมั่นสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองเสมอ แล้วสักวันความสุขที่ได้เดินตามความฝันก็จะย้อนกลับมา อย่างพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นด้วยความฝันและแรงบันดาลใจแห่งนี้...

เจษฎา เทคนิค มิวเซียม ตั้งอยู่ที่ 100 หมู่ 2 ต.งิ้วราย อ.นครัยศรี จ.นครปฐม สอบถามเพิ่มเติมโทร 034 339 468,08 6979 5777,0 2819 4000 หรือ http://www.jesadatechnikmuseum.com/

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สายน้ำสีมรกตที่น้ำตกเอราวัณ




สายน้ำสีมรกต ที่น้ำตกเอราวัณ

น้ำตกเอราวัณเป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่และสวยงามอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ มากนัก ตั้งอยู่ในเขตอำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นน้ำตกที่มีระยะทางยาวมากกว่า 1500 เมตร มีทั้งหมด 7 ชั้น เป็นชั้นน้ำตกหินปูนมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่สีเขียวมรกตฝูงปลาว่ายชุกชุมเป็นจำนวน มาก น้ำตกเอราวัณนี้เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ เดิมมีชื่อว่า “น้ำตกสะด่องม่องลาย” ตั้งชื่อตามลำห้วยม่องลาย ซึ่งเป็นต้นน้ำของน้ำตกที่เกิดจากยอดเขาตาม่องลายในเทือกเขาสลอบ ในแต่ละชั้นของน้ำตกจะมีความร่มรื่นสวยงามด้วยต้นไม้เล็กใหญ่นานาพรรณ โดยแต่ละชั้นจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป ชั้นที่ 1 มีชื่อเรียกว่า “ไหลคืนรัง” ชั้นที่สอง “วังมัจฉา” ชั้นที่สาม “ผาน้ำตก” ชั้นที่สี่ “อกนางผีเสื้อ” ชั้นที่ห้า “เบื่อไม่ลง” ชั้นที่หก “ดงพฤกษา” ชั้นที่เจ็ดซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายมีชื่อเรียกว่า “ภูผาเอราวัณ” ซึ่งชั้นที่เจ็ดนี้เองสายน้ำจะตกลงมาจากภูผาสูงมองดูคล้ายหัวช้างเอราวัณจึง เรียกชื่อว่า “น้ำตกเอราวัณ” จนเป็นที่ติดปากและเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบัน


เมื่อเดินทางไปถึงบริเวณของอุทยานแห่งชาติน้ำตกเอราวัณ จะพบกับลานจอดรถสำหรับนักท่องเที่ยวกว้างใหญ่มากในบริเวณนี้ก็มีร้านค้า จำหน่ายสินค้ามากมายทั้งอาหารการกินครบสมบูรณ์ ส่วนด้านในจะเป็นสำนักงานของอุทยานแห่งชาติ มีรถบริการส่งนักท่องเที่ยวเข้าไปสู่บริเวณน้ำตกชั้นแรกสำหรับนักท่องเที่ยว ที่ไม่สะดวกเดินเท้าอีกด้วย


การเดินทางเข้าสู่น้ำตกแต่ละชั้นจะต้องใช้วิธีเดินเท้าเท่านั้น ทางเข้าไปสู่น้ำตกชั้นแรกเป็นถนนลาดยางขนาดเลนเดียวสองข้างทางปกคลุมไปด้วย ต้นไม้ใหญ่น้อยร่มรื่นมาก เมื่อเดินทางสู่น้ำตกชั้นแรกจะพบกับน้ำตกขนาดใหญ่สวยงาม น้ำใสไหลเย็นมากเสียงดังซู่ซ่าไปทั่วบริเวณ เดินต่อไปอีกประมาณ 170 เมตรก็จะพบกับน้ำตกชั้นที่สองมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่เช่นกัน มีนักท่องเที่ยวลงไปเล่นน้ำจำนวนมาก ถัดไปชั้นที่สามลักษณะของน้ำตกจะไหลมาจากหน้าผาสูงละอองจากน้ำตกปลิวมากระทบ ผิวกายเย็นชื่นใจมาก เดินต่อไปจะพบน้ำตกชั้นที่สี่ลักษณะของน้ำตกเป็นชั้นเตี้ยๆผ่านร่องหินขนาด ใหญ่สองก้อนมีลักษณะคล้ายหน้าอกผู้หญิง ชั้นนี้จึงเรียกว่า “อกนางผีเสื้อ” เป็นแอ่งน้ำตกขนาดใหญ่เช่นกันนักท่องเที่ยวนิยมลงไปว่ายน้ำเล่นกันในบริเวณ นี้


ถัดมาเป็นน้ำตกชั้นที่ห้า ลักษณะของน้ำตกเป็นชั้นหินหลายชั้นที่มีน้ำตกไหลลดหลั่นเรียงกันลงมาเป็น บริเวณกว้างความสูงของน้ำตกไม่มากนักแต่จะมีแอ่งน้ำน้อยใหญ่เหมาะสำหรับลงไป เล่นน้ำมาก ชั้นนี้น้ำตกจะมีสีเขียวมรกตใสสวยงามมากมีฝูงปลาขนาดใหญ่ว่ายน้ำไปมามากมาย ซึ่งปลาชนิดนี้ก็คือ “ปลาพวง” นั่นเอง เป็นปลาน้ำจืดในตระกูลปลาตะเพียนชอบอาศัยอยู่บริเวณธารน้ำตก หรือลำห้วยที่มีธารน้ำใสสะอาดมีพื้นเป็นกรวดหรือทราย ชั้นต่อไปคือชั้นที่หกเป็นชั้นน้ำตกที่มีน้ำไหลลงมาตามชั้นหินขนาดใหญ่ บริเวณนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเล่นน้ำเนื่องจากแอ่งน้ำมีขนาดเล็กและมีพื้นที่ สำหรับเล่นน้ำน้อย ชั้นสุดท้ายคือชั้นที่เจ็ดเป็นชั้นที่มีน้ำตกสวยงามมากไหลลงมาจากหน้าผาสูง ใหญ่ ลักษณะชั้นหินของน้ำตกชั้นนี้เป็นหินปูนขนาดใหญ่น้ำตกมีสีเขียวมรกตสวย งามมากมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่นักท่องเที่ยวนิยมลงไปเล่นน้ำกัน รวมระยะเวลาการเดินทางชมน้ำตกนี้กว่า 3 ชั่วโมง ซึ่งถึงแม้จะดูระยะทางไกลใช้เวลาเดินทางมากแต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่เคย บ่นเหนื่อยกันเลยเพราะธรรมชาติที่นี่มีความสมบูรณ์มากน้ำใสไหลเย็นอีกทั้ง ป่าไม้ที่มีต้นไม้ใหญ่หนาทึบมีแดดส่องเล็ดลอดมาจากใบไม้เล็กน้อยไม่ร้อนเลย หากมีเวลาก็อยากให้ไปเที่ยวกันเยอะๆเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวของไทยด้วย และที่สำคัญอย่าลืมดูแลรักษาธรรมชาติด้วยจะได้มีน้ำตกที่สวยงามแบบนี้ไว้ให้ ลูกหลานต่อไปในอนาคต




การเดินทาง

- รถยนต์ส่วนบุคคลไปตามถนนเพชรเกษมหรือไปตามถนนบรมราชชนนี ผ่านนครชัยศรี บ้านโป่ง ท่ามะกา ท่าม่วง ถึงจังหวัดกาญจนบุรี รวมระยะทาง 129 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง สำหรับการเดินทางจากตัวเมืองกาญจนบุรีไปยังอุทยานแห่งชาติเอราวัณสามารถใช้ ได้ 2 เส้นทาง คือ สายที่ 1 เริ่มต้นจากจังหวัดกาญจนบุรีไปตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 3199 ถึงเขตของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเขื่อนศรีนครินทร์ ข้ามสะพานไปยังตลาดเขื่อนศรีนครินทร์ แล้วจึงเลยเข้าไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 70 กิโลเมตร สายที่ 2 เดินทางจากอุทยานแห่งชาติไทรโยค จะมีเส้นทางบริเวณบ้านวังใหญ่อยู่ห่างจากน้ำตกไทรโยคน้อยประมาณ 6 กิโลเมตร ลัดออกไปบ้านโป่งปัดบริเวณเขื่อนท่าทุ่งนาระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามถนนหมายเลข 3199 อีกประมาณ 25 กิโลเมตรถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติเอราวัณ

- รถไฟ ออกจากสถานี รถไฟบางกอกน้อยวันละ 2 เที่ยว ได้แก่ เวลา 07.50 น. และ 13.45 น. โดยแวะจอดที่สถานีกาญจนบุรี สะพานข้ามแม่น้ำแคว ท่ากิเลน สถานีน้ำตก ในวันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดราชการ มีรถไฟเที่ยวพิเศษ นำเที่ยวไปกลับภายในวันเดียว ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมที่ สถานีรถไฟกาญจนบุรี โทร. 0-3451-1285

- รถโดยสารธรรมดา/รถ โดยสารปรับอากาศออกจากสถานีขนส่งสายใต้ทุก 15 นาที ตั้งแต่เวลา 04.00-20.30 น. ถึงจังหวัดกาญจนบุรี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที หลังจากนั้นเดินทางโดยรถโดยสารประจำทางจากสถานีขนส่งกาญจนบุรี หมายเลข 8170 กาญจนบุรี-เอราวัณ ทุก 1 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 08.00-17.20 น. เพื่อเดินทางเข้าสู่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที รวมระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร หรือออกจากสถานีขนส่งหมอชิต 2 ชั้น 1 ช่อง 21 สายกรุงเทพฯ

-ด่านเจดีย์สามองค์ ตั้งแต่เวลา 05.00-19.00 น. โดยแวะจอดที่สถานีขนส่งจังหวัดกาญจนบุรี ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที หลังจากนั้นเดินทางโดยรถโดยสารประจำทางสายกาญจนบุรี-เอราวัณ เพื่อเดินทางเข้าสู่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ



ขอขอบคุณข้อความ และภาพสวยๆๆ จาก

http://www.trueplookpanya.com/true/othersListDetail.php?srcid=&cat_id=32&pid=8415